ปราการผิว (Skin Barrier) คืออะไร ทำไมจึงสำคัญต่อผิว?
ปราการผิว หรือที่เรียกว่า Skin Barrier เปรียบเสมือนปราการด่านแรกสุดของผิวที่ทำหน้าที่ปกป้องเราจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ ฝุ่นควัน หรือสารก่ออาการระคายเคืองต่างๆ โครงสร้างของปราการผิวประกอบด้วยเซลล์ผิวที่เรียงตัวกันเหมือนกำแพงอิฐ โดยมีไขมันที่จำเป็นต่อผิว (Lipids) ทำหน้าที่คล้ายปูนยึดเซลล์ผิวไว้ด้วยกันอย่างแข็งแรง เพื่อการกักเก็บน้ำและป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว ขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอม หรือปัจจัยทำร้ายผิวผ่านเข้าไปทำร้ายผิว
เมื่อปราการผิวแข็งแรง ผิวจะสามารถกักเก็บนำ้/ความชุ่มชื้นได้อย่างเต็มที่ มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่สมดุล ส่งผลให้เกิดความสมดุลของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บนผิว และมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือที่เรารู้จักพวกเขาในนามของ “จุลินทรีย์”เรียกสิ่งนี้ว่าไมโครไบโอมบนผิว หากผิวมีสมดุลของจุลินทรีย์เหล่านี้ คือมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตนี้ ทั้งชนิดที่ดี (มีประโยชน์ต่อผิว) และแบคทีเรียร้ายก่อโรค จะช่วยให้ผิวของเราแข็งแรงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ความแข็งแรงของปราการผิวยังส่งผลโดยตรงต่อการตอบสนองของผิวต่อผลิตภัณฑ์สกินแคร์ สภาพแวดล้อม และความเครียดในชีวิตประจำวันอีกด้วย
สัญญาณเตือนว่าปราการผิวของคุณกำลังอ่อนแอ
การสังเกตเห็นสัญญาณเตือนว่าปราการผิวกำลังอ่อนแอ จะช่วยให้สามารถดูแลได้อย่างทันท่วงทีก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม สัญญาณที่มองเห็นได้ชัดเจน ได้แก่
- ผิวแห้ง ขาดน้ำ แม้จะบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์อยู่เสมอ หรือสังเกตได้ว่าแต่งหน้าแล้วไม่ติดทน
- ผิวลอกเป็นขุยผิว หรือเป็นแผ่น
- ผิวระคายเคืองง่าย เช่น อาการคัน แสบ ตึงผิว
- ผิวดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และสัมผัสหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียน
เมื่อปราการผิวอ่อนแอลง ความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นจะลดลงอย่างมาก (การสูญเสียน้ำออกจากผิวเพิ่มมากขึ้น) ทำให้ผิวแห้ง ลอก หยาบกร้าน และเกิดอาการระคายเคืองง่ายเพราะปราการผิวมักเรียงตัวไม่เป็นระเบียบ นอกจาหทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้มากขึ้นแล้วยังทำให้สารก่อระคายเคืองต่างๆ สามารถแทรกซึมเข้ามาในผิว ทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการอักเสบและปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา เช่น ปัญหาผิวหมองคล้ำ หรือแม้กระทั่งความยากลำบากในการรักษาฝ้า กระ ซึ่งมักจะตอบสนองต่อการรักษาได้ไม่ดีนักเมื่อผิวอยู่ในสภาพอ่อนแอ
2 ไอเท็มสำคัญเพื่อการดูแลเกราะป้องกันผิว
1. Cicaplast Baume B5+
Cicaplast Baume B5+ เป็นบาล์มสูตรเข้มข้น สารพัดประโยชน์ที่ช่วยปลอบประโลมและฟื้นบำรุงผิวที่ระคายเคืองและมีปัญหาเกราะป้องกันผิวอ่อนแอ ด้วยส่วนผสมสำคัญอย่างวิตามิน บี5 (Panthenol 5%) ที่ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองไม่สบายผิวและมาดิคาสโซไซด์ (Madecassoside) ที่ช่วยเสริมกระบวนการซ่อมแซมผิว และไตรไบโอม่า (Tribioma) สารสำคัญที่ผสานศาสตร์ไมโครไบโอมช่วยคืนสมดุลไมโครไบโอม เสริมความแข็งแรงให้แก่ผิว แม้จะเป็นเนื้อบาล์มเข้มข้นแต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ สามารถใช้ได้กับผิวหน้าและผิวกาย ทั้งในผู้ใหญ่ เด็ก และเด็กเล็ก (ผ่านการทดสอบภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังและกุมารแพทย์กับเด็กอายุ 1 สัปดาห์ขึ้นไป) และยังให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวยาวนานกว่า 48 ชั่วโมง
วิธีการใช้
- ทาลงบนผิวที่สะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ บริเวณที่ต้องการฟื้นบำรุงหรือปลอบประโลมผิว
- สามารถใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น หรือบ่อยครั้งตามต้องการ
- สามารถใช้เป็นมอยซ์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้าและผิวกายอย่างอ่อนโยน
- สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมาก สามารถใช้เป็นมาส์กบำรุงผิวหน้า โดยการทาหนา ๆ ก่อนนอน
2. Anthelios UVMune 400 Invisible Fluid SPF50+
ก่อนออกแดด “ต้อง” ปิดท้ายขั้นตอนการดูแลผิวด้วยครีมกันแดดเพื่อการปกป้องปราการผิวอย่างเต็มประสิทธิภาพด้วย Anthelios UVMune 400 Invisible Fluid SPF50+ ครีมกันแดดที่แพทย์ผิวหนังทั่วโลกแนะนำเป็นอันดับ 1 เนื้อฟลูอิดสูตรนี้สามารถกันน้ำได้ดีมาก (Very water resistant) พร้อมคุณสมบัติกันเหงื่อ หลังการใช้พบว่าเมื่อเหงื่อไหลเข้าตาจะไม่แสบตา ที่สุกแห่งการปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ด้วยค่า SPF 50+/PA++++ ด้วยสารกันแดดหนึ่งที่ปกป้องผิวได้ลึกที่สุด “เม็กโซริล 400 (Mexoryl400) ผสานเทคโนโลยีเนทล็อค (Netlock®) ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ผสานคุณค่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์จากน้ำแร่ลา โรช-โพเซย์และวิตามินอี
วิธีการใช้
- เขย่าขวดก่อนใช้ เทผลิตภัณฑ์ลงบนอุ้งมือ ปริมาณเท่ากับเหรียญสิบบาท แล้วลูบเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า ทาได้แม้ผิวบอบบางรอบดวงตา ทาซ้ำอีกรอบในปริมาณเท่าเดิม (2 เหรียญสิบบาท) เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของผลิตภัณฑ์กันแดดควรทากันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 15 นาที
- หากเผชิญแสงแดดจัด ควรทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อการปกป้องอย่างต่อเนื่องตลอดวัน
ฟื้นบำรุงปราการผิวใช้เวลานานแค่ไหน?
จากการศึกษาทางคลินิกของ Cicaplast Baume B5+ ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังพบว่านอกจาก Cicaplast Baume B5+ จะมีหลากหลายข้อบ่งใช้แล้วยังสามารถปลอบประโลมและฟื้นบำรุงผิวภายใน 1 ชั่วโมง หลังใช้ครั้งแรก
โดยทั่วไปแล้ว หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนตามขั้นตอนที่แนะนำอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ เกราะป้องกันผิวจะได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่และจะยังคงแข็งแรงต่อไปหากดูแลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การรักษาความสมดุลของเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงอย่างต่อเนื่องยังช่วยให้ผิวสามารถฟื้นตัวจากปัญหาผิวอื่น ๆ ได้ดีขึ้น
การฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้งต้องอาศัยความอดทน ความสม่ำเสมอ และการดูแลอย่างอ่อนโยน เพียงทำตามขั้นตอนเหล่านี้ด้วยผลิตภัณฑ์สกินแคร์คุณภาพที่ออกแบบมาเพื่อผิวแพ้ง่าย คุณก็จะสามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมให้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติและกลับมามีเกราะป้องกันที่แข็งแรงได้อีกครั้ง
Reference:
1. ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการในอาสาสมัคร 26 คน หลังใช้ผลิตภัณฑ์ โดยสถาบันวิจัย CAIQ SGCI ประเทศจีน เมื่อตุลาคม 2021