รักษารอยสิวอย่างไร ถึงจะได้พลลัพธ์ที่ดี และเห็นผลไว

Article Read Duration 8 min read

Title Chapo

        เป็นสิวว่าหนักใจแล้ว แต่เป็นสิวแล้วยังทิ้งรอยนั้นหนักใจยิ่งกว่า เพราะรอยสิวเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใบหน้าของเราดูไม่กระจ่างใส สร้างความไม่มั่นใจ ต้องคอยแต่งหน้าเพื่อปกปิดจุดบกพร่องอยู่เรื่อย แล้วเมื่อเกิดรอยดำ รอยแดงจากสิวขึ้นมาแล้วทำอย่างไรถึงจะจางไว หรือรักษาให้เห็นผลมาติดตามจากบทความนี้กัน

"รอยสิว" เกิดขึ้นได้อย่างไร?

        เริ่มต้นจากการอุดตันที่เกิดขึ้นในรูขุมขน จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หรือหากสัมผัสก็จะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ การอุดตันขนาดเล็กใต้ผิวหนังนี้เรียกว่า "ไมโครคอมิโดน (Microcomedone)" โดยเฉพาะผู้ที่ผิวมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย (Acne-prone skin) แม้ขณะที่บนผิวจะดูเรียบเนียน แต่มักพบว่ามีการเกิดขึ้นของไมโครคอมิโดนอยู่ตลอดเวลาแบบที่ไม่รู้สึกตัวเลย จะมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนเกิด "สิวอุดตัน (Comedone) ขึ้นบนผิว

        สิวอุดตันเกิดจากการที่ไมโครคอมิโดนค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นมาสู่ผิวชั้นบน ทำให้ผิวปูด นูน ไม่เรียบเนียน สัมผัสโดนแล้วจะไม่มีอาการเจ็บใด ๆ แต่หลังจากนั้นหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียก็จะเปลี่ยนไปเป็น "สิวอักเสบ (Inflammation acne)" ที่จะมีอาการปวด บวม แดง แสบ ร้อน และหากไม่ดูแลสิวอักเสบให้ดี ทุกอย่างก็จะไปต่อด้วย รอยสิว (Acne mark)

        หลังจาการอักเสบก็จะปรากฎเป็น "รอยแดง" ณ ตำแหน่งที่เกิดการอักเสบ หากดูแลรอยแดงไม่ดี เช่น ไปรบกวนผิวด้วยการสัมผัส กด บีบ เค้น จากรอยแดงที่ใช้เวลาไม่นานในการทำให้จางลง ก็จะเปลี่ยนไปเป็น "รอยดำ" ที่ใช้เวลาทำให้จางหายไปนานมากกว่ารอยแดงซึ่งขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งขนาด/ความเข้มของรอยดำ วิธีการดูแล/ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ พฤติกรรม การหลีกเลี่ยงแสงแดด รวมไปถึงอายุ สภาพลักษณะผิวของแต่ละบุคคลด้วย อาจกล่าวได้ว่าวงจรของสิว เริ่มต้นจาก "ไมโครคอมิโดน-> สิวอุดตัน -> สิวอักเสบ->รอยแดง ->รอยดำจาการเกิดสิว"

อยากให้รอยแดง รอยดำจากสิวหายไปเร็ว ๆ ต้องทำอย่างไร?

1. ไม่เพิ่มรอยแดง รอยดำใหม่

        รอยแดง รอยดำที่เกิดจากสิว หากเราดูแลปัญหาสิวอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นของการเป็นสิว "ไมโครคอมิโดน" หรือ "สิวผด สิวอุดตัน" หรือ "สิวอักเสบ" ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หลีกเลี่ยงสาเหตุ หรือปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดสิวของแต่ละบุคคล รวมถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการดูแลรักษาสิว

        รวมไปถึงดูแลอย่างครบขั้นตอนตั้งแต่การทำความสะอาดอย่างหมดจดด้วยขั้นตอนการเช็ดเครื่องสำอาง การล้างทำความสะอาดผิวหน้า การใช้ครีมรักษาที่ตรงกับประเภท หรือระดับความรุนแรงของสิว รวมไปถึงขั้นตอนการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดด้วยเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนการตัดปัญหาตั้งแต่ต้นตอที่เป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพึงกระทำเป็นสิ่งแรกในการแก้ญหาสิว และรอยแดง รอยดำจากสิว


2. ลดเลือนรอยแดง รอยดำ

        เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจขั้นตอนของการเกิดรอยแดง รอยดำจากสิวก่อน พร้อมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญทำงานหรือแก้ปัญหาจากทุก ๆ สาเหตุให้ได้มากที่สุด หรือครอบคลุมที่สุด เช่นเดียวกับวิธีการรักษาฝ้าทางการแพทย์ "KLIGMAN 's TRIO" ที่ครอบคลุมสาเหตุการเกิดรอยแเดง รอยดำได้มากที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วยตัวยาสำคัญ 3 ชนิด ที่ห้ามใส่หรือใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทั่ว ๆ ไป ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น


การอักเสบ

        การอักเสบเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยแดง จากกลไกการอักเสบที่มักจะส่งผลให้ผิวเกิดอาการปวด บวม แดง แสบ ร้อน

        "KLIGMAN 's TRIO" : ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ ที่มีคุณสมบัติลดอาการอักเสบได้อย่างดีมาก เนื่องจาก กลุ่มยาสเตียรอยด์ มักพบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาค่อนข้างเยอะดังนั้นต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด

        ส่วนสารที่มีคุณสมบัติลดการอักเสบได้ เช่นไนอะซินาไมด์ หรือวิตามินบี 3 (Niacinamide, Vitamin B3)


การสร้างเม็ดสีเมลานิน

        โดยเซลล์ที่ชื่อ "เมลาโนไซต์" รังสี UV เป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เมลาโนไชต์ผลิตเม็ดสีมากผิดปกติ จนเกิดปัญหาสีผิวหมองคล้ำ ไม่สม่ำเสมอ เกิดรอยดำและฝ้ากระจุดด่างดำตามมา แต่อีกสิ่งสำคัญที่หลาย ๆ ผลิตภัณฑ์หมองข้าม ไม่ได้เล็งถึงการแก้ปัญหาในเรื่องนี้คือ กระบวนการอักเสบของสิวที่เกิดขึ้น ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมทำให้เมลาโนไซต์ผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น เกิดปัญหารอยสิว สีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ จุดด่างดำได้เช่นเดียวกัน

        "KLIGMAN 's TRIO" : ไฮโดรควิโนน อีกหนึ่งสารสำตัญที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น โดยสามารถยับยั้งการผลิตเม็ดสีของเมลาโนไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       ตัวอย่างของสารที่มีคุณสมบัติลดการผลิตเม็ดสีได้ด้วยกลไกเดียวกันกับไฮโดรควิโนน คือสารพีเอชอี รีซอสินอล (phe-resorcinol)


การสะสมของเม็ดสีเมลานินที่ผิวชั้นบน

        ทำให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มมากกว่าบริเวณทั่วๆไปเกิดเป็นปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอรอยดำหรือฝ้ากระจุดด่างดำ

        "KLIGMAN 's TRIO" : กรดวิตามินเอ ที่มีคุณสมบัติสามารถผลัดเอาเซลล์ผิวที่มีเม็ดสีมากผิดปกติหลุดออกไป เผยเซลล์ผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่ ลดปัญหาการเกิดจุดด่างดำสีผิวไม่สม่ำเสมอ กรดวิตามินเอก็เช่นเดียวกันที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง ไม่สามารถมีหรือใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทั่ว ๆ ไปได้


3. ไม่ทำให้รอยแดง รอยดำเข้มขึ้น

        การปกป้องด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดเพราะรังสี UV เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รอยดำทั้งจากสิวหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระจุดด่างดำ เพิ่มปริมาณ/จำนวนมากขึ้นหรือสีเข้มเพิ่มมากขึ้น โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่สามารถปกป้องรังสี UV ได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่ความยาวคลื่น 290 ถึง 400 นาโนเมตรซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดเรื่องของรอยดำจากสิว สีผิวไม่สม่ำเสมอ และฝ้า กระ จุดด่างดำ

        แม้ในผู้ที่มีปัญหาสิว...ผลิตภัณฑ์กันแดดก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็น เพราะนอกจากจะช่วยลดโอกาสของการเพิ่มเม็ดสีที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นหรือสีที่เข้มขึ้น ผลิตภัณฑ์กันแดดยังสามารถปกป้องผิวจากรังสี UV ที่สามารถกระตุ้นให้มีการผลิตน้ำมันได้เพิ่มมากขึ้น มีโอกาสเกิดปัญหาสิวได้มากขึ้น ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดนอกจากจะช่วยปกป้องไม่ให้รังสียูวีไปเพิ่มรอยดำหรือฝ้ากระจุดด่างดำแล้วยังสามารถช่วยลดปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้มีการผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้น ลดโอกาสของการเกิดสิวได้ด้วยเช่นเดียวกัน

สรุป

กล่าวโดยสรุปคือการรักษารอยสิวให้เห็นผลอย่างรวดเร็วและชัดเจน มี 3 ขั้นตอนคือ

1. ขั้นตอนการแก้ปัญหาสิว ต้องจัดการที่ต้นตอหรือสาเหตุของการเกิดสิว

2. ขั้นตอนการลดเลือนรอยดำฝังลึก ด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อลดเลือนจุดด่างดำที่ทำงานครบทุกขั้นตอนของการเกิดรอยดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ฝ้า กระ จุดด่างดำ

3. การป้องกันไม่ให้จุดด่างดำเพิ่มมากขึ้นด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดด