เมื่อรักษาสิวแล้ว “หน้าลอกเป็นขุย” ทำอย่างไรดี?

Article Read Duration 7 min read

84% ของผู้ที่มีปัญหาสิว เคยใช้ยารักษาสิว และกว่า 40% ของผู้ที่มีปัญหาสิว หยุดการใช้ยารักก่อนครบกำหนด¹ เพราะไม่สามารถทนต่ออาการข้างเคียงจากการใช้ยารัก ทั้งอาการแสบ แดง แห้ง ลอก
ยาหลัก ๆ ที่ใช้ในการรักษา ไม่ว่าจะใช้ยาชนิดทา เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide), กรดวิตามินเอ (Retinoid) หรือยาชนิดรับประทานที่แพทย์สั่ง มักเจอกับปัญหาคลาสสิกคือ ผิวแห้ง แดง หน้าลอกเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณแก้ม รอบปาก หรือข้างจมูก อาการเหล่านี้เกิดจากฤทธิ์ยาที่เร่งการผลัดเซลล์ผิว ลดการผลิตน้ำมัน หรือกลไกการลดการอุดตันของรูขุมขน แม้จะช่วยให้สิวหาย แต่ก็ทำให้ผิวเสียสมดุล (ทั้งสมดุลชองน้ำและน้ำมันบนผิว และการเสียสมดุลของไมโครไบโอมบนผิวอีกด้วย) ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน อาจรวมไปถึงความรู้สึกระคายเคืองไม่สบายผิวด้วย
ข่าวดีคือปัญหาเหล่านี้สามารถดูแลและบรรเทาได้ ร่วมกับการคงอยู่ในการรักษาสิวภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง หากเราเข้าใจสาเหตุและสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว/ปัญหาผิวจากอาการข้างเคียงของยาที่กำลังเผชิญ มาดูกันว่าเมื่อเจอผิวลอก เราควรจัดการอย่างไร

เริ่มจากการทำความเข้าใจว่าทำไมการรักษาถึงทำให้ผิวแห้งลอก?

  • ยารักษามีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น Retinoid, AHA, BHA ทำให้เซลล์ผิวชั้นบนผลัดเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองและแห้งลอก
  • ยารักษามักมีคุณสมบัติลดความมันของผิว เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ หรือยารับประทานบางชนิด จะลดการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน จึงทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น
  • ผิวบอบบางลงระหว่างการรักษา ผิวมักอ่อนแอและไวต่อสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด ลม หรือมลภาวะ ทำให้ผิวเสียสมดุลง่าย

วิธีดูแลผิวเมื่อหน้าลอกเป็นขุย


LA ROCHE-POSAY EFFACLAR H


เลือกมอยเจอร์ไรเซอร์

สำหรับผิวที่มีอาการข้างเคียง เช่น แสบ แดง แห้ง ลอก ระคายเคือง จากการใช้ยารักษาสิว หรือเป็นคนที่มีผิวแห้งแต่เป็นสิว โดยพิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติมดังนี้

ให้ความชุ่มชื้น

มอยเจอร์ไรเซอร์ถือเป็นตัวช่วยหลักเมื่อผิวมีอาการแห้ง ลอก เพราะมอยเจอไรเซอร์ทำหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้น จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและน้ำมันที่จำเป็นให้ผิว โดยไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ควรเลือกสูตรที่เป็น Non-comedogenic และเนื้อบางเบา เช่น โลชั่นหรือเจลครีม หลีกเลี่ยงสูตรที่เข้มข้นหรือมันเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ได้

ซ่อมแซมปราการผิว

การเสริมปราการปกป้องผิวให้แข็งแรงจะช่วยลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว ช่วยคืนความชุ่มชื้นและความแข็งแรงให้แก่ผิวได้ดียิ่งขึ้น นำไปสู่การส่งเสริมประสิทธิภาพของการรักษาให้เห็นผลได้เร็วขึ้น และชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาจรวมไปถึงคุณสมบัติช่วยแก้ปัญหาสิวด้วยสารที่ไม่ไปเพิ่มการระคายเคือง หรือรบกวนผิว จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของยารักษาแล้ว ยังช่วยลดการเกิดซ้ำของสิวเกิดใหม่ด้วย จะช่วยให้การดูแลปัญหาสิวเห็นผลชัดเจนและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น เช่นทำให้สามารถหยุดการใช้ยาเมื่อสิวสงบ ปัญหาสิวลดลง นั่นหมายถึงอาการผิวแห้ง ระคายเคืองไม่สบายผิวต่าง ๆ ก็จะจบไปด้วยเช่นกัน

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง

เช่นมีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว (Physiological pH) ไม่มีสารสบู่ เป็นสูตรที่ไม่ทำให้ผิวอุดตัน ปราศจากแอลกอฮอล์ เป็นต้น

ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นประจำทุกวัน

เพราะแสงแดดคือศัตรูตัวร้ายของผิว โดยเฉพาะในช่วงที่ผิวอ่อนแอจากการใช้ยา หากไม่ทากันแดด ผิวจะเสี่ยงต่อการไหม้ เกิดรอยดำ และฟื้นฟูยากขึ้น ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่เนื้อบางเบา ไม่อุดตันผิว สามารถทาในปริมาณที่เหมาะสมได้อย่างอ่อนโยนและสบายผิว

เติมความชุ่มชื้นจากภายใน

นอกจากการทาครีมแล้ว การดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน อะโวคาโด หรือถั่ว ก็จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อหน้าลอก

  • ไม่แกะ สครับหรือขัดขุยผิวออก นอกจากจะทำให้เกิดแผลและรอยสิวตามมาแล้วอาจส่งผลกระตุ้นให้เกิดปัญหาสิวเพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
  • ไม่หยุดยาเอง หากผิวลอกมาก หรือระคายเคืองมาก จนทนไม่ไหว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

สรุป

การรักษาด้วยยามักมาพร้อมกับปัญหาหน้าแห้งลอกเป็นขุย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา สิ่งสำคัญคือการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมร่วมกับการใช้ยา โดยเฉพาะ “มอยเจอร์ไรเซอร์” สูตรสำหรับคนเป็นสิว ที่นอกจากการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวแล้ว ควรพิจารณามอยเจอไรเซอร์ที่มีสารสำคัญทำหน้าที่ช่วยเสริมปราการผิว ลดอาการแห้ง ลอก ร่วมกับการลดอาการระคายเคืองแสบ ไม่สบายผิว และหากมีคุณสมบัติช่วยคืนสมดุลไมโครไบโอมบนผิวด้วยก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิวอย่างอ่อนโยน เพื่อความร่วมมือในการรักษาจากแพทย์อย่างต่อเนื่อง ให้ผิวที่มีปัญหาสิวฟื้นฟู แข็งแรง และกลับมาเรียบเนียนสดใสอีกครั้ง

References:

  1. Sources: Observational study, 5270 patients (except Isotretinoin), 12 countries